ดูหนังจีน : ตำนานเทพกระบี่จ้าวพิภพ (Swords of Legends 2) ละครเปิดฉากด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ในยุคบรรพกาล เมื่อเขาปู้โจวซึ่งเป็นหนึ่งในเสาค้ำฟ้าได้พังถล่มลงมา เป็นเหตุให้ท้องฟ้า (ที่ครอบพื้นปฐพี) มีรอยแตกแยก หลังฟ้ารั่วฝนจึงตกไม่หยุดและเกิดอุทกภัยร้ายแรงอย่างต่อเนื่อง “เทพเสินหนง” จึงมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือของรอยแยกแล้วสร้างเมืองหลิวเยว่บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จวี่มู่ ณ ที่นั่นพระองค์ได้แนะให้เหล่าทวยเทพช่วยกันหลอมศิลาห้าสีด้วยพลังจิตวิญญาณ เพื่อนำไปให้ “เจ้าแม่หนี่วา” ใช้ซ่อมแซม (อุดรูรั่ว) ท้องฟ้า แต่ทว่าการซ่อมแซมท้องฟ้าต้องใช้เวลายาวนาน ผู้คนบนโลกมนุษย์จึงบาดเจ็บล้มตายจากเหตุเภทภัยเป็นจำนวนมาก
ชนเผ่า “เลี่ยซาน” ซึ่งเชื่อถือศรัทธาในเทพเสินหนง ทั้งยังมีอายุยืนยาวและมีความสามารถในการควบคุมพลังจิตวิญญาณ มิอาจทนทุกขเวทนาได้อีกต่อไปจึงขอลี้ภัยและอาสาช่วยงานที่เมืองหลิวเยว่ เทพเสินหนงสัมผัสได้ถึงความจริงใจและประทับใจในความภักดีของชนเผ่าเลี่ยซาน จึงปิดผนึกโลหิตเทพหนึ่งหยดไว้ในต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จวี่มู่ (ต้นจวี่มู่ที่เดิมคล้ายยืนต้นตายพลันแตกกิ่งก้านสาขาและผลิใบ) พลังชีวิตที่อยู่ในโลหิตเทพได้แผ่ซ่านไปตามกิ่งก้านและใบของต้นจวี่มู่ ชนเผ่าเลี่ยซานจึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในเมืองหลิวเยว่ได้โดยไม่ต้องดื่มกิน
ด้วยความที่การซ่อมแซมท้องฟ้าดำเนินไปด้วยความยากลำบาก “เทพฝูซี” จึงนำกระบี่เทพเจาหมิงไปสังหารเต่ายักษ์ที่ตงไห่ (ทะเลบูรพา) แล้วนำขาทั้งสี่ของเต่ายักษ์มาช่วยพยุงเสาค้ำฟ้าทั้งสี่เพื่อหยุดยั้งการพังถล่มของท้องฟ้าชั่วคราว เหตุอุทกภัยจึงเริ่มบรรเทาเบาบางลง หลังจากนั้นไม่นานการซ่อมแซมท้องฟ้าก็สำเร็จลุล่วง อย่างไรก็ตามกระบี่เทพเจาหมิงได้หักออกเป็นสามท่อนในระหว่างการต่อสู้ และไม่อาจคืนสภาพเป็นกระบี่เทพดังเดิม
หลังเกิดภัยพิบัติ บรรยากาศในโลกมนุษย์ก็ขุ่นมัว (เกิดมลพิษทางอากาศ) ผู้คนจึงล้มป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โชคดีที่เมืองหลิวเยว่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า บรรยากาศอันขุ่นมัวจึงเจือจาง เทพเสินหนงสั่งให้ชนเผ่าเลี่ยซานพำนักอยู่ในเมืองหลิวเยว่เป็นการชั่วคราว และให้รอจนกว่าพระองค์จะหาที่อยู่ที่เหมาะสมให้ใหม่ โดยพระองค์ได้ร่ายเขตอาคมเพื่อเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ นับจากนั้นชนเผ่าเลี่ยซานจึงถูกกักอยู่บนท้องฟ้าเหนือแดนเป่ยเจียง พวกเขาได้สร้างวิหารสูงตระหง่านแล้วเฝ้าอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน โดยหวังว่าเทพเสินหนงจะกลับมาในเร็ววัน
หลังผ่านไปนานนับพันปี บรรยากาศอันขุ่นมัวจากโลกมนุษย์ยังคงคละคลุ้งและบั่นทอนสุขภาพของชนเผ่าเลี่ยซานในเมืองหลิวเย่ แต่ไร้ซึ่งวี่แววของเทพเสินหนง หัวหน้านักบวชจื่อเวย (จื่อเวยต้าจี้ซือ) นาม “เสิ่นเย่” เป็นห่วงชีวิตของคนในเผ่าเลยจับมือกับปีศาจร้าย “ลี่อิง” หมายกู้วิกฤติด้วยพลังปีศาจ แต่ศิษย์ของเสิ่นเย่นาม “เซี่ยอี” ไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับปีศาจจึงนำมาซึ่งความขัดแย้งและเกิดการเข่นฆ่าในเมืองหลิวเยว่
* เนื่องจากพลังเทพที่ปกป้องเมืองหลิวเยว่กำลังเสื่อมถอย พวกเขาเลยเตรียมย้ายลงมาอยู่ดินแดนเบื้องล่าง หากไม่ดูดซับพลังปีศาจมาไว้ในตัว ชนเผ่าเลี่ยซานในเมืองหลิวเยว่จะไม่สามารถใช้ชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศที่ขุ่นมัวในแดนมนุษย์ (พวกเขาต้องอยู่ในสถานที่ๆ มีอากาศบริสุทธิ์ มิเช่นนั้นอายุขัยจะสั้นลง สุขภาพทรุดโทรม และล้มป่วย) ส่วนปีศาจร้ายลี่อิงจำเป็นต้องดูดกลืนจิตใจและอารมณ์ทั้งเจ็ดของมนุษย์เพื่อเพิ่มพลัง แต่ถ้าอยู่ในแดนมนุษย์เป็นเวลานานพลังปีศาจของลี่อิงจะเสื่อมถอย ลี่อิงจึงต้องการให้ชนเผ่าเลี่ยซานในเมืองหลิวเยว่แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาของต้นจวี่มู่ลงไปยังแดนมนุษย์เบื้องล่างให้มากที่สุด เพื่อที่ตนจะได้ดูดกลืนจิตใจและอารมณ์ทั้งเจ็ดของมนุษย์อย่างต่อเนื่องผ่านทางกิ่งก้านสาขาของต้นจวี่มู่
ณ เมืองฉางอัน “องค์หญิงเจาหนิง” แอบไปหา “เยว่อู๋อี้” ในจวนเยว่โดยไม่สนใจคำเตือนของขันทีที่บอกให้รู้จักสงวนท่าที ครั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้นมาจากห้องประดิษฐ์เหยียนเจี่ย องค์หญิงเจาหนิงจึงรีบวิ่งไปดูด้วยความเป็นห่วง แม้สภาพห้องจะพังยับเยินแต่เยว่อู๋อี้ยังคงปลอดภัยดี แถมเขายังตื่นเต้นดีใจเมื่อพบว่าวิหคเหยียนเจี่ยที่ ‘พี่ใหญ่’ มอบให้ไม่บุบสลายแม้โดนแรงระเบิด
อีกด้านหนึ่ง นักรบสาว “เหวินเหรินอวี๋” แห่งหุบเขาไป๋เฉา นำเหยียนเจี่ยรูปทรงไข่มาให้เจ้าของร้านจวี้เป่าเก๋อในเมืองฉางอันช่วยไขปริศนา แต่กลับต้องผิดหวังเพราะไม่ได้เบาะแสใดๆ เพิ่มเติม แม้เจ้าของร้านจะรู้ว่าผลงานชิ้นนี้สร้างสรรค์โดย “เหยี่ยนซือเซี่ยอี” นักประดิษฐ์เหยียนเจี่ยอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่เขาไม่รู้ว่าเหยียนเจี่ยอันที่ว่านี้คืออะไรและใช้งานอย่างไร เหวินเหรินอวี๋หวังว่าในเมืองฉางอันอาจมีใครรู้เรื่องกลไกเหยียนเจี่ยบ้าง แต่เจ้าของร้านกล่าวว่าขนาดร้านตนขายของล้ำค่าหายากทุกวัน ยังแทบไม่เคยเจอเหยียนเจี่ย แล้วคนทั่วไปจะมีโอกาสเห็นหรือรู้วิธีใช้งานสิ่งประดิษฐ์เหยียนเจี่ยได้อย่างไร
องค์หญิงเจาหนิงแย่งวิหคเหยียนเจี่ยไปจากเยว่อู๋อี้หน้าตาเฉย เยว่อู๋อี้รีบตามไปทวงคืนเพราะเป็นของสำคัญและมีค่าทางจิตใจ แต่องค์หญิงเจาหนิงไม่ยอมคืนให้เพราะก่อนหน้านี้เยว่อู๋อี้เคยรับปากว่าจะทำวิหคไม้ตัวน้อยที่บินได้ให้เธอ เยว่อู๋อี้สัญญาว่าจะทำวิหคไม้ตัวใหม่ให้ แต่องค์หญิงเจาหนิงยืนกรานว่าจะเอาตัวนี้ เยว่อู๋อี้กล่าวอย่างวิงวอนว่าตนให้องค์หญิงเจาหนิงได้ทุกอย่างยกเว้นวิหคเหยียนเจี่ยตัวนี้ เพราะถ้าไม่มีมันตนอาจไม่ได้พบพี่ใหญ่อีกเลย องค์หญิงเจาหนิงได้ทีจึงนำวิหคเหยียนเจี่ยมาต่อรองกับเยว่อู๋อี้
ครั้นเหวินเหรินอวี๋เดินออกจากร้านจวี้เป่าเก๋อก็พบศิษย์พี่ “ฉินหยาง” ดักรออยู่ เธอจะหนีไปทางอื่นแต่ถูก “ซูฉยง” ขวางไว้เช่นกัน ถึงกระนั้นเธอก็พยายามหลบหนี แต่ฉินหยางกับซูฉยงไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ ซูฉยงชี้ว่าเหวินเหรินอวี๋มีความผิดร้ายแรงโทษฐานที่ลอบออกจากหุบเขาไป๋เฉาโดยพลการ ซ้ำยังหลีกหนีการจับกุม ฉินหยางพยายามหว่านล้อมให้ศิษย์ผู้น้องยอมกลับไปกับพวกตนแต่โดยดี ปกติแล้วเหวินเหรินอวี๋เชื่อฟังศิษย์พี่ทุกอย่างแต่คราวนี้เธอไม่อาจทำตาม เธอไม่ต้องการต่อสู้กับศิษย์พี่และซูฉยงจึงหาทางหลบเลี่ยง แต่ฉินหยางกับซูฉยงตามจับกุมเธออย่างไม่ลดละ ทั้งสามคนจึงต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางตลาดก่อนที่เหวินเหรินอวี๋จะสบโอกาสหนีไป
หลังตามเอาใจองค์หญิงเจาหนิงมาตลอดทั้งวัน เยว่อู๋อี้จึงทวงถามเรื่องวิหคเหยียนเจี่ย แต่องค์หญิงแกล้งทำเป็นหูทวนลมและบอกว่าเธออยากกินปูราคาแพงที่ร้านชุ่ยจู๋เซวียน เยว่อู๋อี้ได้ยินดังนั้นจึงตอบตกลง ขณะทานอาหารที่ร้านดังกล่าว องค์หญิงเจาหนิงถามเยว่อู๋อี้ว่าเขาชอบสตรีเช่นไร เยว่อู๋อี้กล่าวว่าตนอ่อนด้อยเรื่องวรยุทธ์ สตรีที่ตนชอบย่อมต้องเป็นแบบเดียวกัน มิเช่นนั้นเวลาทะเลาะกันตนมีหวังโดนเล่นงานจนน่วม นอกจากนี้ นางจะต้องผมยาวสลวย อ่อนโยน มีคุณธรรม และไม่เจ้ากี้เจ้าการ ที่สำคัญนางจะต้องไม่เหมือนมารดาตน ตนถูกมารดาข่มเหงมานาน 20 ปี ขืนได้สตรีที่มีนิสัยเหมือนมารดามาเป็นภรรยาอีก ตนมีหวังเป็นทาสชั่วชีวิต องค์หญิงเจาหนิงกล่าวด้วยท่าทางเอียงอายว่า ลักษณะสตรีที่เขาพูดมาแลดูละม้ายคล้ายตัวเธอไม่มีผิด เยว่อู๋อี้ได้ยินแล้วขำกลิ้ง ในสายตาเขาองค์หญิงเจาหนิงไม่ใช่สตรีที่อ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม
องค์หญิงเจาหนิงโวยลั่นว่าเยว่อู๋อี้เองก็เป็นบุรุษที่ทั้งโง่และอ่อนแอ สิ่งเดียวที่เขารู้คือการเล่นสนุกกับกล่องไม้ เยว่อู๋อี้กล่าวว่าอย่าดูถูกงานไม้ของตน ตนมีฝีมือในเรื่องที่ไม่ธรรมดา หลังทักษะล้ำเลิศตนจะประดิษฐ์หุ่นเหยียนเจี่ยนับหมื่นนับพันตัว พวกมันจะสามารถร่ายบทกวีหรือแม้กระทั่งต่อสู้ และจะเชื่อฟังตนเพียงผู้เดียว เมื่อถึงเวลานั้นสตรีทุกคนในฉางอันจะต้องหลงใหลในฝีมืออันล้ำเลิศของตน องค์หญิงเจาหนิงเย้ยด้วยความหมั่นไส้ว่าแค่มีสตรีสักคนในร้านชุ่ยจู๋เซวียนหลงใหลเยว่อู๋อี้ก็นับเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว เยว่อู๋อี้จึงท้าพนันกับองค์หญิงว่าในชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปจะมีสตรีแปลกหน้าจากชั้นล่างเลี้ยงสุราตนหนึ่งจอก องค์หญิงเจาหนิงรับคำท้าโดยบอกว่าหากสตรีคนที่ว่าไม่ยอมเลี้ยงสุราเยว่อู๋อี้ วิหคเหยียนเจี่ยจะกลายเป็นของขวัญที่เยว่อู๋อี้มอบให้เธอเนื่องในพิธีเข้าสู่วัยสาว*ทันที
* พิธีเข้าสู่วัยสาว หรือ “จี้หลี่” (笄礼) เป็นพิธีโบราณมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว จัดขึ้นสำหรับเด็กสาวอายุตั้งแต่ 15 ปีที่โตเป็นสาวเต็มตัวและพร้อมที่จะแต่งงาน ในพิธีจะมีการนำปิ่นมาปักผมของเธอ เพื่อแสดงถึงความพร้อมที่จะถูกครอบครอง
ครั้นเห็นเหวินเหรินอวี๋เดินขึ้นบันไดมานั่งโต๊ะใกล้ๆ เยว่อู๋อี้จึงเริ่มแผนทันที เขาพยายามเข้าไปผูกมิตรกับเหวินเหรินอวี๋ แต่เหวินเหรินอวี๋ไม่สะดวกที่จะคุยด้วย เธอต้องคอยระวังตัวตลอดเวลาเพราะเกรงว่าฉินหยางกับซูฉยงจะมาพบเข้า เยว่อู๋อี้ไม่อยากเสียวิหคเหยียนเจี่ยไปจึงบอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงให้เหวินเหรินอวี๋รู้และขอให้เธอช่วยเลี้ยงสุราตน เหวินเหรินอวี๋เห็นฉินหยางกับซูฉยงเข้ามาในร้านโดยนั่งที่โต๊ะชั้นล่างก็รู้สึกตกใจ เยว่อู๋อี้เห็นดังนั้นจึงคิดว่าเธอกำลังหลบเจ้าหนี้ เหวินเหรินอวี๋ไม่อยากให้เยว่อู๋อี้ส่งเสียงดังจึงขอให้เขากลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง เยว่อู๋อี้ขอให้เหวินเหรินอวี๋เลี้ยงสุราตนก่อนแล้วตนจะกลับโต๊ะทันที เหวินเหรินอวี๋จำใจรับปากแต่ทว่าสุราที่ร้านชุ่ยจู๋เซวียนราคาแพงเกินกว่าเธอจะจ่ายไหว เยว่อู๋อี้จึงแสร้งโยนเงินลงบนพื้นแล้วบอกว่าเหวินเหรินอวี๋ทำเงินตก เหวินเหรินอวี๋ปฏิเสธทันควันว่าไม่ใช่เงินของเธอ (เธอและคนงานในร้านเห็นกับตาว่าเยว่อู๋อี้โยนเงินตัวเองลงบนพื้น)
หลังรู้ว่าเยว่อู๋อี้ขี้โกงองค์หญิงเจาหนิงจึงโวยลั่นร้าน ซูฉยงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงเงยหน้ามองและเห็นเหวินเหรินอวี๋ที่ชั้นสอง เหวินเหรินอวี๋จะหนีออกจากร้านแต่เยว่อู๋อี้ดึงมือเธอไว้เพราะไม่อยากแพ้พนัน ครั้นหนีไม่ทันเหวินเหรินอวี๋จึงปะทะกับฉินหยางและซูฉยงในร้านอย่างดุเดือด องค์หญิงเจาหนิงเห็นท่าไม่ดีเลยชวนเยว่อู๋อี้ออกจากร้าน แต่เยว่อู๋อี้ยังคงไม่ยอมแพ้ เขาคิดที่จะช่วยเหวินเหรินอวี๋หมายให้เธอเลี้ยงสุราเป็นการตอบแทนจึงกระโดดเข้าไปขวางเพื่อหย่าศึก ซูฉยงเป็นงงเมื่อเยว่อู๋อี้ขอใช้หนี้แทนเหวินเหรินอวี๋ ฉินหยางขอให้เยว่อู๋อี้หลีกทางเพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เยว่อู๋อี้สวนกลับว่าอย่ามาขวางการช่วยเหลือผู้อื่นของตน ครั้นเห็นว่าเยว่อู๋อี้ไม่ยอมถอยฉินหยางเลยจำต้องใช้กำลัง แต่เขายังไม่ทันเริ่มลงมือเยว่อู๋อี้ก็เรียกใช้ตัวช่วยเสียก่อน และตัวช่วยที่ว่าก็คือ หุ่น “จินกัง (คิงคอง) หมายเลขหนึ่ง” ซึ่งเป็นองครักษ์เหยียนเจี่ยที่เยว่อู๋อี้ประดิษฐ์เองกับมือ
ในตอนแรก จินกังหมายเลขหนึ่งสาดกระสุน (เหรียญทองแดง) ใส่ฉินหยางกับซูฉยงตามคำสั่งแบบรัวๆ จนทั้งคู่ต้องรีบหาที่หลบ หลังจากนั้นไม่นานเจ้าจินกังก็เริ่มรวนและเสียการควบคุม จึงสาดกระสุนใส่ผู้คนทุกทิศทุกทาง คนในร้านจึงวิ่งหนีกันวุ่น แม้แต่เยว่อู๋อี้เองยังต้องกระโดดหนีทางหน้าต่างอย่างลืมตัว เหวินเหรินอวี๋เห็นดังนั้นจึงรีบตามลงไปช่วยก่อนที่ร่างเขาจะตก
องค์ชายสาม “หลี่เยี่ยน” เพิ่งกลับวังหลวงหลังออกไปบำเพ็ญเพียรตามแนวทางของลัทธิเต๋าบนเขาไท่หัวตั้งแต่เด็ก องค์ชายรอง “หลีเหมี่ยว” ซึ่งมาดักรอเห็นน้องชายต่างมารดาสวมชุดธรรมดาสีขาวจึงถามว่าไม่ได้รับชุดกวนฝู (ชุดราชสำนัก) ที่ตนส่งไปให้หรือ องค์ชายสามกล่าวว่าชุดนี้สะดวกต่อการเดินทางมากกว่า องค์ชายรองชวนน้องชายต่างมารดาไปร่ำสุราและพูดคุยที่ตำหนักของตนในตอนเย็น แต่องค์ชายสามออกจากวังไปนานหลายปีจึงอยากใช้เวลาอันมีค่ากับพระมารดามากกว่า หลังจากนั้น องค์ชายสามก็ไปเข้าเฝ้า “จักรพรรดิเซิ่งหยวน” ผู้เป็นพระบิดา จักรพรรดิเซิ่งหยวนกล่าวว่าตอนเด็กๆ องค์ชายสามทั้งอ่อนแอและขี้โรค ตนเลยจำต้องส่งองค์ชายสามไปฝึกตนที่วัดไท่หัว ตนได้ยินว่าภูเขาหิมะไท่หัวทอดตัวยาวนับพันลี้ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนดีกว่ากันระหว่างพระราชวังที่ภายในตกแต่งด้วยอิฐทองและหยกกับภูเขาหิมะไท่หัว องค์ชายสามตอบอย่างเอาใจว่า พระราชวังย่อมต้องดีกว่า… จักรพรรดิเซิ่งหยวนได้ยินดังนั้นจึงยิ้มอย่างพอใจ
องค์ชายสามกล่าวต่อว่า …แต่ทว่าตนศรัทธาในลัทธิเต๋า แม้เขาไท่หัวจะไม่ใช่สถานที่ๆ มีทัศนียภาพแตกต่างไปตามฤดูกาล (เนื่องจากมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี) แต่ก็เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเพียรมากกว่า จักรพรรดิเซิ่งหยวนได้ยินแล้วแอบผิดหวัง ครั้นองค์ชายสามขออนุญาตติดตามอาจารย์ “ชิงเหอ” หลังจากอาจารย์ผ่านด่านเคราะห์ที่เขาจีซาน จักรพรรดิเซิ่งหยวนก็รู้สึกยินดีที่ได้ยินว่าสหายเก่ามีพลังแก่กล้าขึ้น พระองค์ถอนใจก่อนกล่าวว่าตนมัวแต่ยุ่งเรื่องราชกิจเลยไม่ได้พบนักพรตชิงเหอมานานหลายปี พระองค์รู้สึกซาบซึ้งที่นักพรตชิงเหออบรมสั่งสอนองค์ชายสามมาเป็นอย่างดี หลังรู้ว่าพระบิดาอยากให้กลับมาอยู่ในวังองค์ชายสามจึงพยายามทัดทาน จักรพรรดิเซิ่งหยวนชิงตัดบทโดยอ้างว่าตนรู้สึกอ่อนล้า พระองค์แนะให้องค์ชายสามรีบไปหามารดาแล้วเดินจากไปทันที